หลาย ๆ ท่านคงเห็นและเจอคำว่า "สโลว์ไลฟ์ ..slow life" กันมากตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ คำ ๆ นี้นับว่าเป็นคำที่มาแรงมาก ๆ ดังนั้นวันนี้มาทำความเข้าใจกันค่ะว่ามันคืออะไร
Slow Life แปลว่าอะไร?
"slow" สโลว์ แปลว่า "ช้า"
"life" ไล้ฟ์ แปลว่า "ชีวิต"
รวมกันแล้ว แปลว่า "ชีวิตช้า ๆ" ก็จริง (ถ้าแปลตามความหมายตรงตัว) แต่จริง ๆ แล้วคำ ๆนี้ต้องการสื่อความหมายว่า
"การใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีสาระ ทำอะไรอย่างมีสติ ชะลอตัวเองให้มีเวลาได้หยุดคิดไตร่ตรองก่อนจะลงมือทำ เพื่อให้ได้มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตและได้ทำสิ่งดี ๆ ให้ตนเองและบุคคลรอบข้างมีความสุขมากขึ้น"
10 วิธี “ช้าลงอย่างมีความหมาย” กับชีวิตแนวสโลว์ไลฟ์
1. ทำให้น้อย แต่ให้ชัด
แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างให้เสร็จในวันเดียว ลองเลือกแค่สิ่งสำคัญจริง ๆ ที่ต้องจัดการ แล้วโฟกัสกับมันอย่างเต็มที่ การลดจำนวน “สิ่งที่ต้องทำ” ช่วยให้จิตใจโล่งขึ้น ความคิดก็ชัดเจนขึ้น และเราจะรู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ทำสำเร็จมากกว่าแค่เช็กลิสต์ให้หมด
2. อยู่กับปัจจุบันให้ได้
การมีสติอยู่กับปัจจุบันเป็นหนึ่งในแก่นของการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว แก้ไม่ได้
สิ่งที่ยังไม่มา ก็ไม่ต้องคิดให้เปลืองใจ
สิ่งเดียวที่ “มีอยู่จริง” คือวินาทีนี้ ลมหายใจนี้ และประสบการณ์ตรงหน้าเรา
3. ลดเวลาออนไลน์ เปิดใจรับสิ่งรอบตัว
การอยู่หน้าจอตลอดเวลาอาจทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับโลก แต่ก็อาจทำให้หลุดจากโลกของตัวเอง ลองปิดการแจ้งเตือนสักครู่ วางมือถือไว้ไกล ๆ แล้วหันมาสังเกตสิ่งรอบตัว เช่น สีท้องฟ้า กลิ่นของดอกไม้ หรือเสียงหัวเราะของคนข้างบ้าน สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้อาจมีคุณค่ามากกว่าข่าวล่าสุดในฟีดโซเชียลก็ได้
4. ฟังให้มากกว่าพูดในบทสนทนา
ลองตั้งใจฟังคนตรงหน้าจริง ๆ ไม่ใช่แค่รอจังหวะจะพูดกลับ การ “อยู่ด้วยกัน” อย่างแท้จริงในบทสนทนา จะเปลี่ยนคุณภาพของความสัมพันธ์ และช่วยให้เราเชื่อมโยงกันได้ลึกขึ้นกว่าการส่งสติกเกอร์หรืออีโมจิ
5. ปล่อยให้ธรรมชาติบำบัด
ไม่จำเป็นต้องไปแคมป์ปิ้งหรือไปผจญภัย แค่เปิดหน้าต่างให้แสงแดดเข้ามา เปิดเพลงเสียงน้ำไหล หรือเดินเล่นในสวนหน้าบ้าน ก็ช่วยให้ใจสงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเราสัมผัสธรรมชาติมากเท่าไหร่ สมองและหัวใจก็ยิ่งได้พักฟื้นจากโลกที่เต็มไปด้วยจอและตัวอักษรมากขึ้นเท่านั้น
6. เคี้ยวให้ช้าลง ลิ้มรสให้ลึกขึ้น
การกินช้า ๆ ไม่ได้แค่ดีต่อระบบย่อยอาหาร แต่ยังช่วยให้เราตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เคารพอาหาร และรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งที่ได้กิน การกินอย่างมีสติคือการฝึกฝนแบบหนึ่งที่พาความสุขกลับมาในแต่ละมื้อ
7. ขับรถให้ช้าลง
การชะลอความเร็วขณะขับรถ ไม่เพียงลดความเสี่ยงบนถนน แต่ยังเปิดโอกาสให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ ระหว่างทาง อาจเป็นร้านที่ไม่เคยสังเกต หรือวิวสวย ๆ ที่ไม่เคยเห็น เพราะรีบเกินไป ลองเปลี่ยนการเดินทางให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่เส้นทางสู่จุดหมาย
8. ฝึกมองโลกด้วยใจที่เปิดกว้าง
เมื่อเราช้าลง เราจะเริ่มเห็นสิ่งที่เคยมองข้าม ความงดงามในสิ่งเล็ก ๆ ความมีค่าของสิ่งธรรมดา รวมถึงความหวังในสถานการณ์ที่ดูยาก เราไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่เราเปลี่ยน “มุมที่มองโลก” ซึ่งอาจเปลี่ยนความรู้สึกไปตลอดวัน
9. ทำทีละอย่าง แล้วทำให้ดีที่สุด
มัลติทาสก์อาจดูดีในเรซูเม่ แต่ไม่ได้ดีต่อจิตใจเสมอไป ลองหันมาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นงาน ทำกับข้าว หรือการคุยกับใครสักคน แล้วคุณจะพบว่า "คุณภาพ" ของสิ่งที่ทำจะดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
10. สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด
ดูเหมือนง่าย...แต่ในชีวิตจริงเราลืมหายใจกันบ่อยมาก หรือลืมว่า ณ ขณะนี้เรากำลังหายใจอยู่หรือเปล่า ลองหยุดนิ่งสัก 1 นาที สูดลมหายใจเข้าอย่างลึก แล้วปล่อยออกอย่างช้า ๆ คุณจะรู้สึกเหมือนมีพื้นที่ในใจเพิ่มขึ้น เหมือนได้เริ่มต้นใหม่เล็ก ๆ อีกครั้ง
สรุป
การใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่ได้แปลว่า “ช้าแบบไม่มีเป้าหมาย” แต่มันคือการเลือกใช้ “จังหวะที่เหมาะกับตัวเอง” เพื่อให้รู้สึกว่าเรามีชีวิตอยู่กับทุกสิ่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ผ่านมันไปอย่างรีบเร่ง ให้ชีวิตได้หายใจ...แล้วคุณจะรู้ว่า ความสุขจริง ๆ ไม่ได้อยู่ไกลเลย อ่านบทความนี้แล้วนำไปปรับใช้กันดูนะคะ
ขอขอบคุณ: http://health.kapook.com/view121714.html