เทคนิคแปลงานวิจัยให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ
การแปลงานวิจัยไม่เหมือนกับงานแปลทั่วไป เพราะไม่ได้เน้นเพียงความลื่นไหลของภาษา แต่ต้องให้ “ข้อมูลถูกต้องและโครงสร้างสอดคล้องมาตรฐานสากล” ไปพร้อมกัน งานวิจัยส่วนใหญ่อ้างอิงรูปแบบ IMRaD ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่วารสารนานาชาติใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Introduction (บทนำ) Methods (วิธีวิจัย) Results (ผลลัพธ์) และ Discussion (อภิปรายผล) นักแปลจึงจำเป็นต้องคงโครงสร้างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแปลทั้งบทหรือเฉพาะส่วนสำคัญ เช่น บทคัดย่อและหัวข้อย่อย
หัวใจสำคัญของการแปลงานวิจัยคือ ความแม่นยำ (Accuracy) โดยเฉพาะคำศัพท์เฉพาะทางที่เปลี่ยนไปตามสาขา ตัวอย่างเช่น ในงานเชิงสังคมศาสตร์ คำว่า construct อาจหมายถึง “ตัวแปรเชิงแนวคิด” ขณะที่ในงานวิศวกรรมอาจแปลเป็น “โครงสร้างที่ถูกออกแบบ” ซึ่งการเลือกคำต้องอาศัยการศึกษาบริบท ไม่ใช่การแปลคำต่อคำ นอกจากนั้น คำศัพท์เชิงสถิติ เช่น significant ก็ไม่ควรแปลว่า “สำคัญ” แบบทั่วไป แต่ต้องแปลว่า “มีนัยสำคัญทางสถิติ” เพื่อให้ถูกต้องตามความหมายทางวิชาการ
นักแปลควรใช้แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เช่น ฐานข้อมูลวารสาร พจนานุกรมเฉพาะสาขา และ Corpus ภาษาวิชาการ เพื่อเทียบเคียงการใช้คำจริง รวมถึงควรสร้าง Glossary (คลังคําศัพท์) ตั้งแต่เริ่มแปล เพื่อรักษาความสอดคล้องของคำทั้งเอกสาร เช่น “Population / Sample / Participant” ต้องไม่ถูกสลับใช้ผิด เพราะอาจทำให้ผู้อ่านเกิดความผิดพลาดในการตีความประชากรวิจัย
ก่อนส่งงาน นักแปลควรมี Checklist ตรวจคุณภาพ เช่น ความถูกต้องของศัพท์ ตัวเลข หน่วยวัด กราฟ/ตารางต้องสื่อความหมายเหมือนต้นฉบับ การอ้างอิง (Reference) ต้องถูกแปลงให้เข้ากับระบบภาษาเป้าหมาย โดยไม่เปลี่ยนชื่อผู้แต่งหรือข้อมูลจริง สไตล์การเขียนต้องเป็น Academic Tone
กล่าวโดยสรุป งานวิจัยที่ดีในฉบับแปล คือ งานที่อ่านเข้าใจได้ชัดเจน แต่ยังซื่อสัตย์ต่อข้อมูลและมาตรฐานวิชาการครบทุกจุด
บทความโดย กรัลย์
ลงวันที่ 01/12/2568