ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการแปลงานวิจัยและวิธีป้องกัน
นักแปลหลายคนเจอกับปัญหาเดิมๆในงานวิจัย ซึ่งหากไม่ระวัง อาจทำให้งานแปล “ถูกภาษา แต่ผิดข้อมูล” ได้ หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบมากคือ แปลศัพท์เชิงสถิติผิดบริบท เช่น bias ที่หลายครั้งไม่ได้หมายถึง “อคติส่วนบุคคล” เสมอไป แต่อาจหมายถึง “ความคลาดเคลื่อนของงานวิจัย” หรือ “ปัจจัยรบกวนที่ไม่ต้องการ” ขึ้นอยู่กับงาน
อีกคำที่มักสับสนคือ paradigm ซึ่งในงานวิจัยไม่ควรแปลเป็นเพียง “ตัวอย่าง” แต่ต้องเป็น “กรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ทางวิชาการ” รวมถึงการแปลตาราง/กราฟ โดยไม่ได้ดูความสัมพันธ์ของข้อมูล เช่น สลับหัวแถวหัวคอลัมน์หรือแปลป้ายกำกับ (label) แกนกราฟผิด ส่งผลให้การตีความผลวิจัยคลาดเคลื่อน แม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆก็ตาม
ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ความไม่สอดคล้องของคำ (Inconsistency) ในงานยาวทั้งเล่ม เช่น หน้าแรกใช้ “กลุ่มตัวอย่าง” แต่หน้าถัดไปใช้ “กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัย” ทั้งที่เป็นคำเดียวกันในต้นฉบับ สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของงานแปล นอกจากนี้ ยังมี การตีความเกินจากต้นฉบับ โดยเปลี่ยนถ้อยคำ (wording) เป็นภาษาสวยหรูจนทำให้ความหมายทางระเบียบวิธีวิจัย (methodology) เกิดความคลาดเคลื่อนไป
วิธีป้องกันที่นักแปลควรทำ ได้แก่ อ่านบทคัดย่อ (Abstract) ก่อนเริ่มแปลเสมอ เพื่อจับใจความทั้งหมด ทำอภิธานศัพท์ (Glossary) และใช้คำเดิมตลอดทั้งเอกสาร เมื่อเจอศัพท์เฉพาะ ต้องค้นเทียบวารสารในสาขาเดียวกัน เช็กตัวเลข หน่วย และตำแหน่งในตารางทุกครั้ง และตรวจงาน 2 รอบขึ้นไป โดยแยกระยะ (Phase) “การตรวจภาษา” และ “การตรวจข้อมูลวิชาการ”
กล่าวโดยสรุป ความเข้าใจเนื้อหาวิจัยอย่างลึกซึ้ง และระบบการจัดการคำศัพท์ คือเกราะที่ช่วยป้องกันงานวิจัยผิดความหมายได้ดีที่สุด
บทความโดย กรัลย์
ลงวันที่ 01/12/2568